ยุทธศาสตร์พลาสติกฉบับใหม่ของ EU และผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพลาสติกไทย

ยุทธศาสตร์พลาสติกฉบับใหม่ของ EU และผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพลาสติกไทย

วันที่นำเข้าข้อมูล 21 พ.ค. 2561

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 3,940 view
 

          “อียูจำเป็นต้องพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้าพลาสติกให้ได้มาตรฐานสูงสุด เพราะสุดท้ายแล้วผลประโยชน์จะตกอยู่กับผู้ที่มีมาตรฐานสูงที่สุด” ส่วนหนึ่งของบทสรุปการเสวนา “Plastics Strategy: Challenges and Opportunities for Recycling” รายงานโดยสำนักข่าว Euractiv ซึ่งทีมงาน Thaieurope.net ได้เข้าร่วมเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ยิ่งตอกย้ำความตั้งใจของอียูในการเป็นผู้นำด้านมาตรฐานสิ่งแวดล้อม

         เรื่องของพลาสติกกับสิ่งแวดล้อม น่าจะเรื่องที่จะยิ่งได้รับการสนใจเรื่อยๆ  หลังจากที่จีนได้ประกาศยกเลิกการนำเข้าขยะพลาสติกที่มีความปนเปื้อนสูงตั้งแต่เมื่อเดือนมกราคม 2561 ถือเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ที่ทำให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนของอียูยิ่งตระหนักถึงปัญหาขยะพลาสติกเพิ่มมากขึ้น เพราะนั่นหมายความว่า อียูจะต้องหาวิธีจัดการกับขยะพลาสติกให้ได้ตามมาตรฐาน หรืออาจะต้องหาตลาดใหม่เพื่อรองรับขยะพลาสติกที่ปัจจุบันอียูส่งออกไปจีนถึง 1.6 ล้านตันต่อปี

         ด้วยเหตุนี้ การหามาตรการป้องกันการเกิดขยะพลาสติก พร้อมทั้งการแสวงหาวัตถุดิบทางเลือกแทนการผลิตพลาสติกใหม่ (virgin plastics) จึงกลายเป็น 2 มาตรการหลักที่อียูให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อลดปริมาณขยะพลาสติกภายในอียู และเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของอุตสาหกรรมพลาสติก ภายใต้ยุทธศาสตร์พลาสติกฉบับใหม่ (European Strategy for Plastics in a Circular Economy) ที่อียูเพิ่งประกาศใช้ไปเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2561

ยุทธศาสตร์พลาสติกในยุคอุตสาหกรรม 4.0 : เน้นลดขยะ สร้างนวัตกรรมหาวัตถุดิบทดแทน

         ตั้งแต่ปี 2558 อียูได้ผลักดันแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งหมายถึงการเน้นการใช้ทรัพยากร อย่างคุ้มค่าควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มตั้งแต่การผลิต การบริโภค และการกำจัดของเสียหลังจากสินค้าหมดอายุการใช้งาน มาอย่างต่อเนื่อง จึงไม่น่าแปลกใจว่า ยุทธศาสตร์พลาสติกฉบับใหม่นี้ก็ใช้หลักการเดียวกันในการกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมพลาสติกที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของอียูมากเป็นลำดับที่ 7 โดยมีมูลค่ามากถึง 3.5 แสนล้านยูโร ในปี 2559

         อียูจึงตั้งเป้าประสงค์หลักในการลดปริมาณขยะพลาสติก ควบคู่ไปกับการผลักดันการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการหาวัตถุดิบทางเลือกอื่นๆ หรือการใช้พลาสติกรีไซเคิลในการผลิตสินค้าเพิ่มมากขึ้น

         ทั้งนี้ เพราะอียูกำลังตระหนักถึงผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะพลาสติกภายในอียู ที่มีปริมาณมากถึง 25.8 ล้านตันต่อปี ซึ่งส่วนมากเป็นพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียว (single-use plastics) ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน เช่น ถุงพลาสติก จานและแก้วพลาสติก  ช้อน-ส้อมพลาสติก และหลอดเครื่องดื่ม เป็นต้น โดยพลาสติกเหล่านี้ส่วนใหญ่ผลิตจากปิโตรเลียมและมักกลายเป็นขยะในทะเล (Marine Litter) บางส่วนอาจแตกสลายเป็นเศษพลาสติกชิ้นเล็กๆ (เล็กกว่า 5 มิลลิเมตร) หรือไมโครพลาสติก (Microplastics) ซึ่งจะปนเปื้อนอยู่ในน้ำและอากาศ และส่งผลกระทบต่อสุขภาพหากเข้าสู่ร่างกาย

         และการที่จีนประกาศห้ามนำเข้าขยะพลาสติก (พิกัด 3915) ที่มีค่าความปนเปื้อนมากกว่า 0.5% ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า เป็นการปรับระดับที่หลายประเทศ รวมถึงอียู ไม่น่าจะทำตามข้อกำหนดได้ และอาจต้องหาตลาดใหม่รองรับขยะเหล่านี้ ซึ่งหมายความว่า บริษัทที่นำเข้าสินค้าจากจีนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการขนส่งเพิ่มมากขึ้นจากเดิม เพราะบริษัทขนส่งมักจะยอมลดราคาเพื่อขนขยะเหล่านี้เป็นสินค้าเที่ยวกลับ แทนที่จะขนคอนเทนเนอร์เปล่ากลับหลังจากส่งสินค้าออกจากจีนไปยังยุโรป  

         อย่างไรก็ดี เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลาสติกภายในอียูที่มากถึง 49 ล้านตันต่อปี โดยเฉพาะพลาสติกประเภทบรรจุภัณฑ์ที่มีความต้องการมากที่สุดถึงกว่า 40% อียูจึงต้องผลักดันนวัตกรรมที่ใช้วัตถุดิบทางเลือกมากขึ้น เช่น พลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) หรือพลาสติกรีไซเคิล (recycled plastics) ที่ปัจจุบันถูกนำมาใช้ในการผลิตถุงและขวดพลาสติกเพิ่มขึ้นด้วย

ผู้ประกอบการไทยจับตามาตรการสิ่งแวดล้อมสำหรับพลาสติกส่งออก

         จะเห็นได้ว่า ยุทธศาสตร์พลาสติกของอียูฉบับนี้ ให้ความสำคัญกับปัญหาขยะจากบรรจุภัณฑ์พลาสติกเป็นอันดับแรก โดยมีหลักการสำคัญ คือ การลดการใช้บรรจุภัณฑ์จากพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (single-use packaging) การส่งเสริมให้ใช้บรรจุภัณฑ์จากพลาสติกที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือสามารถรีไซเคิลได้ง่าย

         สำหรับประเทศไทย สถิติจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมระบุว่า บรรจุภัณฑ์จากพลาสติก เช่น กล่องหรือหีบ กระสอบและถุง (พิกัด 3923) เป็นประเภทสินค้าพลาสติกที่ไทยส่งออกไปยังอียูมากที่สุด
โดยในปี 2560 มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 3.4 พันล้านบาท ดังนั้น ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดังกล่าวจึงต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้ามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคุณสมบัติของสินค้าที่ต้องสามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือ
รีไซเคิลได้ หรืออาจเลือกใช้พลาสติกชีวภาพในการผลิตพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวมากขึ้น ทั้งนี้ เพราะอียูมีท่าทีอย่างชัดเจนว่า อียูเลือกที่จะ “ปิดประตู” สำหรับพลาสติกคุณภาพต่ำและไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

         ปัจจุบัน อียูมีกฎหมายเฉพาะสำหรับบรรจุภัณฑ์พลาสติก คือ ข้อบังคับเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์และของเสียที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ฉบับใหม่ (Directive (EU) 2015/720 on Packaging and Packaging Waste) ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2558

         ข้อบังคับฉบับใหม่นี้มีประเด็นสำคัญ คือ การบังคับให้ประเทศสมาชิกต้องมีมาตรการคิดเงินค่าถุงพลาสติก ณ จุดขาย สำหรับถุงพลาสติกที่มีความหนาน้อยกว่า 50 ไมครอน (หรือ 0.05 มิลลิเมตร) หรือที่คนไทยคุ้นเคยกันดีในชื่อ “ถุงก็อบแก๊บ” ภายในปี 2561 และต้องจำกัดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกประเภทดังกล่าวไม่เกิน 90 ใบต่อคนต่อปี ภายในปี 2562 และ 40 ใบต่อคนต่อปี ภายในปี 2568

         ซึ่งข้อบังคับดังกล่าวทำให้หลายประเทศในอียูได้ทยอยประกาศยกเลิกการใช้ถุงและบรรจุภัณฑ์พลาสติกบางประเภทแล้ว เช่น ฝรั่งเศสประกาศยกเลิกการใช้ถุงพลาสติกตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2559 และบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับผักและผลไม้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 ส่วนกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ได้ประกาศยกเลิกการใช้ถุงพลาสติกตั้งแต่เดือนกันยายน 2560 ในขณะที่ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตข้ามชาติขนาดใหญ่ของยุโรป อย่างห้าง Aldi ก็ได้ประกาศเลิกใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวตั้งแต่ปี 2560 และหันมาใช้ถุงกระดาษและถุงพลาสติกรีไซเคิลแทน เป็นต้น

         อย่างไรก็ดี อียูยังมีแผนที่จะออกมาตรการเพิ่มเติมภายในเดือนพฤษภาคม 2561 เพื่อจำกัดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวประเภทอื่นๆ อีก เช่น ก้นกรองบุหรี่ ขวดและฝาขวดน้ำดื่ม ก้านไม้พันสำลี ผ้าอนามัย ถุง/กระเป๋า บรรจุภัณฑ์ห่อขนมขบเคี้ยว หลอดและที่คนกาแฟ บอลลูนและก้านพลาสติกบอลลูน ผลิตภัณฑ์บรรจุอาหาร ถ้วยพลาสติกและฝาถ้วย รวมถึงช้อนและส้อมพลาสติก รวมทั้งจะพิจารณาแก้ไขระเบียบเรื่อง Ecodesign เพื่อเพิ่มเงื่อนไขให้สินค้าที่มีส่วนประกอบของพลาสติกต้องสามารถรีไซเคิลได้ โดยเฉพาะอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้ประกอบการสามารถติดตามความเคลื่อนไหวเรื่องนี้ได้ทางเว็บไซต์ thaieurope.net

         ในเมื่อยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างจีนและอียู ต่างก็ตระหนักถึงผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากขยะพลาสติกและมีนโยบายลดการใช้พลาสติกออกมาอย่างต่อเนื่อง อาจถึงเวลาที่อุตสาหกรรมพลาสติกของไทยจึงต้องเร่งปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวโน้มการบริโภคที่ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยสินค้าและบรรจุภัณฑ์ต้องมีคุณสมบัติที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้ หรือเลือกใช้วัตถุดิบทางเลือกจากธรรมชาติอย่างพลาสติกชีวภาพมากยิ่งขึ้น โดยคอลัมน์ EU Watch ฉบับหน้าจะมาคุยกันต่อเกี่ยวกับทิศทางพลาสติกชีวภาพในตลาดอียูและโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมพลาสติกไทย