วันที่นำเข้าข้อมูล 1 ก.พ. 2564
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 29 พ.ย. 2565
สหภาพยุโรปพิจารณาเสนอมาตรการกำหนดสีถุงขยะรีไซเคิลที่สอดคล้องกันในทุกประเทศสมาชิก ภายใต้ร่างกฎหมาย EU Packaging Waste Directive ว่าด้วยมาตรการจัดการขยะจากบรรจุภัณฑ์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรลุเป้าหมายในการรีไซเคิลขวดพลาสติก 90% ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยมีกำหนดเสนอร่างกฎหมายฯ ในเดือนมิถุนายน 2564
ปัจจุบันประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปมีระบบการแยกขยะที่แตกต่างกันออกไป เนื่องจากสหภาพยุโรปกำหนดให้เทศบาลและผู้ผลิตร่วมกันรับผิดชอบในการจัดการขยะรีไซเคิล โดยประเทศสมาชิกและหน่วยงานท้องถิ่นมีหน้าที่เลือกระบบการแยกขยะและวิธีการดำเนินงานเอง อาทิ ในเบลเยียมมีการกำหนดให้ใช้ถุงขยะสีฟ้าสำหรับขยะพลาสติก/โลหะ และถุงสีเหลืองสำหรับขยะกระดาษ ขณะที่เยอรมนีมีมาตรการตรงกันข้ามกับเบลเยียม โดยเยอรมนีกำหนดให้ใช้ถุงขยะสีเหลืองสำหรับขยะพลาสติก/โลหะ และถุงขยะสีฟ้าสำหรับขยะกระดาษ ซึ่งมาตรการที่ต่างกันในแต่ละประเทศทำให้ผู้บริโภคสับสนและมีการทิ้งขยะผิดประเภท ทำให้สหภาพยุโรปเสียโอกาสในการรีไซเคิลขยะเหล่านี้ ดังนั้น หากทุกประเทศสมาชิกมีการใช้ระบบกำหนดสีถุงขยะเดียวกัน น่าจะสามารถช่วยเพิ่มอัตรารีไซเคิลขยะในสหภาพยุโรป และส่งเสริมแผนเศรษฐกิจหมุนเวียนในสหภาพยุโรปในระยะยาว
อย่างไรก็ดี นาย Joachim Quoden ผู้บริหาร สมาคม EXPRA (Extended Producer Responsibility Alliance) มองว่าปัญหาเรื่องสีถุงขยะที่ต่างกันไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่ากับการมีระบบการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพและการมีถังขยะสำหรับขยะรีไซเคิล เนื่องจากบางประเทศในสหภาพยุโรปยังไม่มีแนวทางปฏิบัติพื้นฐานที่จำเป็นเหล่านี้ โดยประเด็นสำคัญน่าจะเป็นเรื่องการปรับปรุงข้อกำหนดด้านความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility (EPR)) ให้มีความชัดเจน เพื่อให้ผู้ผลิตและหน่วยงานรัฐทราบว่าใครควรเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและจัดการเพื่อแยกขยะรีไซเคิล
โดยหลักการของข้อกำหนด EPR คือ ผู้ผลิตควรเป็นผู้รับผิดชอบต่อสินค้าและบรรจุภัณฑ์เมื่อสินค้าสิ้นสุดอายุการใช้งาน ซึ่งนาย Joachim กล่าวว่า สหภาพยุโรปมีแนวโน้มที่จะพิจารณาเสนอมาตรการ EPR เพิ่มเติม อาทิ ขยายข้อกำหนด EPR ให้ครอบคลุมบรรจุภัณฑ์ทุกชนิด (เดิมครอบคลุมเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์) ภายในปี ค.ศ. 2024 และกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะสำหรับผู้ผลิตที่สอดคล้องกันในระดับสหภาพยุโรป ซึ่งอาจมีการเสนอให้มีอัตราลดหย่อนสำหรับสินค้าและบรรจุภัณฑ์ที่มีการออกแบบโดยคำนึงถึงความสะดวกในการนำไปรีไซเคิล ตามมาตรการสหภาพยุโรปด้าน Eco-design ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้ผลิตออกแบบสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ยังมีอีกหนึ่งเครื่องมือที่สามารถช่วยเพิ่มอัตรารีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำมาใช้ได้รวดเร็วกว่า EPR ได้แก่ ระบบมัดจำบรรจุภัณฑ์ (Deposit Return Scheme - DRS) ซึ่งใช้หลักการสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคนำบรรจุภัณฑ์มาคืน โดยการเก็บค่ามัดจำสำหรับขวดพลาสติก ขวดแก้ว และกระป๋องอลูมิเนียมล่วงหน้า (จ่ายค่ามัดจำพร้อมสินค้า) และคืนเงินค่ามัดจำเมื่อผู้บริโภคนำบรรจุภัณฑ์มาคืนที่ร้านค้า/ตู้บริการอัตโนมัติเท่านั้น ซึ่งระบบมัดจำบรรจุภัณฑ์สามารถเรียกคืนขยะรีไซเคิลได้ในปริมาณมาก โดยเฉพาะขยะพลาสติก PET ที่สามารถนำไปใช้ใหม่ได้ อันเป็นการส่งเสริมแนวทางการใช้วัตถุดิบทุติยภูมิ (secondary material) และเป็นการปิดห่วงวงจรการผลิตบรรจุภัณฑ์ เพื่อมุ่งสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในสหภาพยุโรป
ทั้งนี้ ร่างกฎหมาย EU Packaging Waste Directive จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มอัตรารีไซเคิลและส่งเสริมการนำวัตถุดิบทุติยภูมิกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งสภายุโรปเองก็มีแนวโน้มที่จะมีการเสนอเป้าหมายในการใช้วัตถุดิบทุติยภูมิในการผลิตสินค้าในปีนี้ โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ ภายใต้กรอบกฎหมาย Sustainable Products Policy เพื่อเป็นการเพิ่มตลาดสำหรับวัตถุดิบรีไซเคิล มุ่งพัฒนาวงจรเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สมบูรณ์ ตามแผนยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนของสหภาพยุโรป
***************
ที่มา:
ขอขอบคุณทีมงาน Thaieurope.net
Credit ภาพปก © cat027 #204926961, 2019 source: stock.adobe.com https://ec.europa.eu/research/infocentre/article_en.cfm?artid=50229
รูปภาพประกอบ
จันทร์ - ศุกร์ เวลา 08.30 - 16.30 น. (ยกเว้นวันหยุดและวันหยุดนักขัตฤกษ์)