วันที่นำเข้าข้อมูล 28 ม.ค. 2564
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 28 พ.ย. 2565
เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 สถาบัน European Policy Centre (EPC) ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้จัดงานเสวนาวิชาการออนไลน์ในหัวข้อ “The road to Glasgow and COP26: Time to accelerate global efforts to tackle climate change” โดยมีนาย Jacob Werksman ที่ปรึกษาของ DG CLIMA นาย Nick Bridge ผู้แทนพิเศษของกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นาง Sabine Frank Executive Director กลุ่ม Carbon Market Watch และ นาย Wendel Trio Director เครือข่าย Climate Action Network เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การเสวนาได้รับเกียรติจากนาง Annika Hedberg นักวิชาการอาวุโสของสถาบัน EPC เป็นผู้ดำเนินรายการ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นาง Annika Hedberg (EPC) กล่าวเปิดการเสวนาด้วยการฉายภาพรวมว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้การเจรจาเรื่องโลกร้อนของคณะทำงานเป็นไปด้วยความยากลำบาก และทำให้การประชุม COP26 ระหว่างผู้นำโลก ณ เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ ต้องเลื่อนออกไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2564 โดยหัวข้อสำคัญของการประชุมครั้งนี้ จะมีทั้งวาระการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิดที่มีเรื่องโลกร้อนเป็นหัวใจสำคัญ และกรอบเวลาที่ประเทศต่าง ๆ ต้องเร่งดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังตามเงื่อนไขของความตกลงปารีส เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบเลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นจากวิกฤตโลกร้อน ดังนั้น การที่จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหภาพยุโรปออกมาให้คำมั่นในช่วงที่ผ่านมาว่า จะลดการปล่อยคาร์บอนเหลือศูนย์ภายในปี 2593 (สำหรับเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป) และภายในปี 2603 (สำหรับจีน) จึงมีความสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกฝ่าย ในขณะที่นานาชาติต่างหวังว่า รัฐบาลชุดถัดไปของสหรัฐฯ จะกลับเข้าร่วมความตกลงปารีสและลงมือแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังอีกครั้ง
นาย Nick Bridge (กระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักร) ในฐานะเจ้าภาพหลักในการจัดการประชุม COP26 ร่วมกับอิตาลี กล่าวต่อไปว่า แม้ในปี 2563 ที่ผ่านมามีสัญญาณเชิงบวกจากผู้นำจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมถึงสหภาพยุโรป แต่ยังมีความท้าทายในการนำไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งต้องมาดูรายละเอียดเกี่ยวกับแผนปฎิบัติการของแต่ละประเทศ (Nationally Determined Contribution : NDCs) ว่าจะเพียงพอหรือไม่ในภาพรวมที่จะควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศา ในขณะที่ต้องจับตาท่าทีของสหรัฐฯ รัสเซีย ออสเตรเลีย และบราซิล โดยสหราชอาณาจักรจะทำงานเชิงรุกในการประสานงานกับประเทศต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการพัฒนาข้อกำหนดการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องตามความตกลงปารีส ข้อ 6 ซึ่งมีความซับซ้อน และรับปากจะผลักดันข้อเสนอแนะของประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะประเด็นด้านการเงินในการปรับตัวด้านการลดก๊าซฯ ต่อที่ประชุม G7 และ G20 ก่อนการประชุม COP26 นอกจากนี้ ยังย้ำว่า การแก้ไขปัญหาโลกร้อนต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์โดยยึดหลักของความรับผิดชอบร่วมกันในระดับการพัฒนาที่แตกต่าง รวมถึงยังจำเป็นต้องมีการดำเนินการแบบองค์รวมเพื่อปฏิรูปสังคม เศรษฐกิจ และการลงทุนในโครงการต่าง ๆ โดยเปิดให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีบทบาทร่วมดำเนินการกับภาครัฐในทุกมิติ ทั้งในระดับท้องถิ่นและในระดับโลก เพื่อนำไปสู่การดำเนินงานในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นระบบ
นาย Jacob Werksman (DG CLIMA) กล่าวว่า แนวทางในการแก้ไขปัญหาโลกร้อนของสหภาพยุโรป แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้
(1) ในระดับประเทศ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปตั้งเป้าว่าจะลดก๊าซฯ จากเดิมร้อยละ 40 เป็นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 55 ภายในปี 2573 ซึ่งสหภาพยุโรปจะผลักดันให้มีการระบุเป้าหมายดังกล่าวในกฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate law) เพื่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศสมาชิกด้วยกัน นอกจากนี้ สหภาพยุโรปยังได้จัดทำ Road Map “Fit for 55 Package” ซึ่งเป็นแผนการลดก๊าซฯเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วย 2 มาตรการ คือ “การปรับปรุงการใช้พลังงาน (Source)” และ “เพิ่มพื้นที่ป่า (Sink)” โดยคาดว่า จะผ่านข้อเสนอสำคัญ อาทิ การจัดเก็บภาษีคาร์บอน การปรับปรุง การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซฯ และการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อดูดซับคาร์บอนภายในปี 2564
(2) ในระดับทวิภาคี สหภาพยุโรปต้องการเรียกร้องให้สหรัฐฯ กลับเข้ามาเพิ่มบทบาทในเวทีการเจรจาและยกระดับการดำเนินงานด้านการลดก๊าซฯ ของประเทศให้มีความเข้มข้นมากขึ้น และมองว่า ประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศควรมีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินผ่านกองทุน Adaptation Fund แก่ประเทศยากจนในการปรับตัวต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายหลังปี 2568
(3) ในระดับสากล สหภาพยุโรปต้องการผลักดันการกำหนดบรรทัดฐานสากลในบริบท Article 6 ของความตกลงปารีสร่วมกับประเทศภาคีต่าง ๆ ภายใต้กรอบความโปร่งใส อาทิ การเปิดเผยข้อมูลเพื่อการติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินงานตาม NDCs ตลอดจนการจัดทำบัญชีก๊าซฯ ของประเทศ
นาง Sabine Frank (กลุ่ม Carbon Market Watch) ย้ำว่า ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาโลกร้อนที่ต้นเหตุ คือ การลดปริมาณก๊าซฯ ที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ดังนั้น ตนจึงไม่เห็นด้วยกับกลไกการลดก๊าซฯ ที่ถ่ายโอนระหว่างประเทศ เช่น กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) ที่อนุญาตให้ประเทศพัฒนาแล้วสามารถนำปริมาณก๊าซฯ ที่ลดได้จากโครงการในประเทศกำลังพัฒนาผ่านการซื้อคาร์บอนเครดิตมาคำนวณเสมือนว่าได้ดำเนินการลดในประเทศของตนเองเพื่อบรรลุ NDC เนื่องจากมีความเสี่ยงว่าอาจมีการนับซ้ำ
นาย Wendel Trio (เครือข่าย Climate Action Network) กล่าวว่า การทำงานร่วมกับประเทศต่าง ๆ เพื่อผลักดันการเจรจา โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาเป็นสิ่งสำคัญในการรับมือปัญหาโลกร้อน ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของคนเรามากขึ้น และประเทศกำลังพัฒนาควรได้รับการสนับสนุนด้านการเงิน เทคโนโลยี และความสามารถต่าง ๆ จากประเทศพัฒนาแล้ว เพื่อให้สามารถปรับตัวได้
********************
ขอขอบคุณทีมงาน Thaieurope.net
Credit ภาพปก https://ukcop26.org/
รูปภาพประกอบ
จันทร์ - ศุกร์ เวลา 08.30 - 16.30 น. (ยกเว้นวันหยุดและวันหยุดนักขัตฤกษ์)