วันที่นำเข้าข้อมูล 29 ก.ค. 2563
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 29 พ.ย. 2565
สหภาพยุโรปชูยุทธศาสตร์ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Strategy) สู้เศรษฐกิจหลังยุคโควิด
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ปัญหาสภาวะโลกร้อนที่รุนแรงมากขึ้นก่อให้เกิดภัยธรรมชาติต่าง ๆ รวมถึงไฟป่าครั้งใหญ่ที่ต้องใช้เวลากว่า 5 เดือนในการดับไฟ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและการแพร่กระจายของโรคระบาดร้ายแรง ราวกับว่าธรรมชาติกําลังส่งสัญญาณเตือนให้เรา “หยุด” ทําลายและควร “เปลี่ยนแปลง” การดําเนินชีวิตแบบเดิม ๆ เพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์กับธรรมชาติให้สมดุลอีกครั้ง
สหภาพยุโรปและความท้าทายใหม่
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2563 ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 คณะกรรมาธิการยุโรปได้นําเสนอแผนยุทธศาสตร์ “EU Biodiversity Strategy” หรือ ยุทธ์ศาสตร์ด้านความหลากหลายทางชีวภาพของสหภาพยุโรปและแผนปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นการกําหนดเป้าหมายใหม่สําหรับปี ค.ศ. 2030 รวมถึงการขยายพื้นที่คุ้มครอง (protected areas) ทางบก 30% และทางทะเล 30% เพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพให้คงไว้ โดยสหภาพยุโรปมีแผนจะออก/ปรับปรุงมาตรการให้ครอบคลุมและรัดกุมมากขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้การปกป้องธรรมชาติและการฟื้นฟูระบบนิเวศให้สมบูรณ์เป็นส่วนหนึ่งของ “The New Normal”
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ด้านความหลากหลายทางชีวภาพเป็นหนึ่งในเสาหลักของนโยบาย European Green Deal ควบคู่กับยุทธศาสตร์ “Farm to Fork Strategy” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณการเกษตรกร ธรรมชาติ ภาคธุรกิจ และผู้บริโภคให้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวและพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน แผนยุทธศาสตร์นี้นับเป็นการแสดงจุดยืนของสหภาพยุโรปในการมุ่งเป็นผู้นําด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและด้านการสร้างห่วงโซ่อาหารที่ยั่งยืนบนเวทีโลกอีกด้วย
น้ำพึ่งเรือ “เรา” พึ่งป่า
จากการรายงานของสภาเศรษฐกิจโลกร่วมกับบริษัท PwC พบว่า เศรษฐกิจโลกพึ่งพาธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพมากเกินคาดการณ์ หรือ มากกว่า 50% ของจีดีพีโลกซึ่งคิดเป็นมูลค่ากว่า 40 ล้านล้านยูโร แต่วิถีชีวิตยุคปัจจุบันนั้นกําลังทําลายสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่าลดลถึงร้อยละ 60 ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาและสายพันธุ์ (species) กว่าล้านชนิดมีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ จึงไม่แปลกใจที่แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิดของสหภาพยุโรปจะมี “การฟื้นฟูธรรมชาติ” เป็นองค์ประกอบสําคัญ
อุตสาหกรรมหลักที่พึ่งพาธรรมชาติอย่างสูง ได้แก่ อุตสาหกรรมก่อสร้าง การเกษตร และอาหารและ เครื่องดื่ม ซึ่งสร้างรายได้รวมกันมากกว่า 7 ล้านล้านยูโร โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้ใช้ทรัพยากรโดยตรงจากแหล่งธรรมชาติ เช่น ดินที่อุดมสมบูรณ์ น้ำสะอาด การผสมเกสรดอกไม้ และสภาพภูมิอากาศที่ไม่แปรปรวน เป็นต้น
แม้ว่าภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจอาจถูกมองว่า เป็นตัวการที่ทําลายธรรมชาติและระบบนิเวศแต่อีกด้านก็เป็นผู้คิดค้นนวัตกรรม สร้างความร่วมมือ และมีความรู้ความชํานาญที่สามารถช่วยชี้ปัญหาความหลากหลายทางชีวภาพ
เกษตรอินทรีย์คือทางออก
ตามแผนยุทธศาสตร์ฯ สหภาพยุโรปมีแผนสนับสนุนและขยายพื้นที่การทําเกษตรอินทรีย์เป็นร้อยละ 25 ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดในยุโรปภายในปี ค.ศ. 2030 โดยการทําเกษตรปลอดสารมีข้อดีหลายประการ คือ (1) สามารถผลิตอาหารที่ปลอดภัยแก่ผู้บริโภค (2) เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และ (3) การทําเกษตรอินทรีย์นั้นสามารถดึงดูดความสนใจจากเกษตรกรรุ่นใหม่และมีอัตราการจ้างแรงงานสูงกว่าการทําการเกษตรแบบธรรมดาถึงร้อยละ 10-20 ต่อเฮคเตอร์ เป็นต้น
วิกฤตผึ้งใกล้สูญพันธุ์ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาที่เราจะต้อง “เปลี่ยน” วิธีทําการเกษตรแบบเดิม ๆ ไปเป็นการทําเกษตรอินทรีย์มากขึ้นเพราะ 75% ของอาหารโลกต้องพึ่งพาการผสมเกสรดอกไม้โดยสัตว์ หากเกษตรกรยังใช้ยาฆ่าแมลงที่ทําลายหน้าดินเหมือนปัจจุบัน ผึ้งอาจจะสูญพันธุ์ได้ในไม่ช้า ดังนั้น เราควรเพิ่มจํานวนประชากรและความหลากหลายของสัตว์และแมลงผสมเกสรเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ จะเป็นการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและสร้างความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืน
เสียเงินลงทุนกับธรรมชาติเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
เครือข่าย EU Natura 2000 คือ เครือข่ายพื้นที่คุ้มครองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์และแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์หายาก รวมถึงแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติได้รับการคุ้มครองและอนุรักษ์ไว้ ครอบคลุมพื้นที่ 27 ประเทศทั้งทางบกและทางทะเล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สายพันธุ์สัตว์หายากและถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติที่ถูกคุกคามสามารถอยู่รอดได้ในระยาวตามที่ระบุไว้ภายใต้ข้อบังคับ Birds Directive และ Habitats Directive นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของแนวทางการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพที่ประสบความสําเร็จ ยืนยันได้จากผลประโยชน์ที่ได้รับซึ่งมีมูลค่ากว่า 200-300 พันล้านยูโรต่อปี
รวมถึงการจ้างแรงงานเพื่อดูแลพื้นที่คุ้มครองโดยตรงกว่า 104,000 อัตรา และจ้างงานทางอ้อมอีก 70,000 อัตรา และคาดการณ์ว่ายุทธศาสตร์ด้านความหลากหลายทางชีวภาพของสหภาพยุโรปฉบับนี้จะสร้างงานเพิ่มถึง 500,000 อัตราเลยทีเดียว (ข้อมูลจาก ec.europa.eu) การสร้างงานนับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของการฟื้นฟูเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปหลังวิกฤตโควิดนี้
สหภาพยุโรปได้พิจารณาถึงผลประโยชน์ของการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพต่อเศรษฐกิจนั้นว่าคุ้มค่าแก่การลงทุน เช่น การอนุรักษ์กลุ่มสัตว์น้ำสามารถเพิ่มกําไรให้แก่อุตสาหกรรมอาหารทะเลกว่า 49 พันล้านยูโร และการปกป้องพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งทะเลสามารถช่วยบริษัทประกันประหยัดกว่า 50 พันล้านยูโรต่อปี จากการลดค่าเสียหายจากน้ำท่วม เป็นต้น โดยสหภาพยุโรปได้มีแผนจัดสรรงบประมาณกว่า 2 พันล้านยูโรต่อปีจากงบประมาณกลาง งบประมาณภายในประเทศ และจากภาคเอกชน
การอยู่เฉยกับปัญหาเท่ากับการเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ในบริบทหลังวิกฤตโควิดแผนยุทธศาสตร์ของสหภาพยุโรปนี้จะเสริมสร้างสังคมที่มีความยืดหยุ่นต่อภัยคุกคามในอนาคต (resilience society) เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไฟป่า ความไม่มั่นคงทางอาหาร หรือโรคระบาด รวมถึงการอนุรักษ์สัตว์ป่าและต่อสู้กับการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย เป็นต้น และเป็นการสนับสนุนแผนฟื้นฟูที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
การไม่ทําอะไรเพื่อแก้ปัญหาเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพที่ถดถอย คือการเลือกที่จะยอมเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ อาทิ ในช่วง ค.ศ. 1997-2011 โลกได้สูญเสียประมาณ 5.5-10.5 ล้านล้านยูโรต่อปีไปกับการเสื่อมสภาพของดิน หากเราไม่เริ่มอนุรักษ์ธรรมชาติ เราก็จะมีผลิตผลทางการเกษตรน้อยลง จับปลาได้น้อยลง และมีโอกาสที่จะประสบภัยธรรมชาติสูงขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสูญเสียโอกาสในการพบวัตถุดิบที่มีศักยภาพในการนํามาผลิตยารักษาโรคก็เป็นได้
สหภาพยุโรปเตรียมเพิ่มมาตรการสีเขียว
อันที่จริงสหภาพยุโรปมีกรอบด้านกฎหมายที่ครอบคลุมปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพอยู่แล้ว เช่น ข้อบังคับ Renewable Energy Directive II ซึ่งกําหนดเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนของสหภาพยุโรปไว้ที่อย่างน้อยร้อยละ 32 ภายในปี ค.ศ. 2030 และจะต้องเป็นพลังงานทดแทนที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ไฮโดรเจน รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อมาแทนพลังงานทดแทนแบบเดิมที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หนึ่งในตัวอย่างเชื้อเพลิงชีวภาพที่สหภาพยุโรปมองว่าทําลายสิ่งแวดล้อมคือ น้ำมันปาล์ม โดยสหภาพยุโรปมองว่า การปลูกปาล์มส่งผลทําลายพื้นที่ป่า ดังนั้น สหภาพยุโรปจึงได้ประกาศให้มีการลดการใช้น้ำมันปาล์มและให้เลิกใช้ทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2030
อีกประเด็นที่น่าจับตามอง คือ สหภาพยุโรปจะผลักดันให้บริษัทและองค์กรต่าง ๆ ภายใต้ข้อบังคับ Non-Financial Reporting Directive ให้มีการจัดทํา Sustainable Corporate Governance เพื่อเผยแพร่แนวทางปฏิบัติขององค์กรในเรื่องสิทธิมนุษยชน ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมส่วนรวม
สหภาพยุโรปเตรียมจะออกแนวทางปฏิบัติเพื่อให้แต่ละประเทศสมาชิกดําเนินการและบังคับใช้กฎระเบียบอย่างเข้มงวด
ภายในปีหน้า และจะทําการประเมินอีกครั้งในปี ค.ศ. 2024 ว่ากฎระเบียบและข้อบังคับเดิมเหล่านี้ลําพังจะช่วยให้สหภาพยุโรปสามารถบรรลุเป้าหมายใหม่ที่ตั้งไว้ได้หรือไม่ ซึ่งสหภาพยุโรปอาจจะต้องมีการปฏิรูปหรือเสนอร่างกฎระเบียบใหม่ในอีก 4 ปีข้างหน้าก็เป็นได้
สหภาพยุโรปกําลังเร่งรัดการยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม และวิกฤตโควิดก็เป็นตัวกระตุ้นให้สหภาพยุโรปยิ่งผลักดันนโยบายสีเขียวทั้งในภูมิภาคของตนและในเวทีระหว่างประเทศ ดังนั้น ไทยก็ต้องเร่งปรับตัวให้ทันกับเทรนด์สีเขียว ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสําคัญของขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
****************************
เรียบเรียงโดยทีมงาน Thaieurope.net
(สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์)
(Credit รูปภาพปก: https://www.neweurope.eu/article/eu-commission-adopts-comprehensive-new-biodiversity-strategy/)
จันทร์ - ศุกร์ เวลา 08.30 - 16.30 น. (ยกเว้นวันหยุดและวันหยุดนักขัตฤกษ์)