วันที่นำเข้าข้อมูล 11 มิ.ย. 2563
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565
ทำธุรกิจกับสหภาพยุโรปในยุคหลังโควิด: ผู้ประกอบการไทยควรปรับตัวอย่างไร
สหภาพยุโรปเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยคณะกรรมาธิการยุโรปคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของภูมิภาคจะหดตัวกว่าร้อยละ 7.4 ในปี 2563 และกลับมาขยายตัวร้อยละ 6.1 ในปี 2564 นอกจากนี้ อัตราการว่างงาน
มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและตัวเลขการขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดสืบเนื่องจากมาตรการการเงินการคลังที่รัฐบาลจำเป็นต้องนำออกมาใช้เพื่อพยุงเศรษฐกิจ สำหรับตัวเลขการค้าคณะกรรมาธิการยุโรปคาดว่า ในปี 2563 การส่งออกของ
สหภาพยุโรปจะหดตัวร้อยละ 9 - 15 (คิดเป็น 282 - 470 พันล้านยูโร) และการนำเข้าจะลดลง ร้อยละ 11 - 14 (คิดเป็น 313 - 398
พันล้านยูโร) โดยภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องจักรและยานยนต์ได้รับผลกระทบมากสุด
นาย Paolo Gentiloni กรรมาธิการยุโรปด้านเศรษฐกิจให้สัมภาษณ์เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2563 ว่าประเทศในยุโรปได้รับผลกระทบจาก
โควิด-19 ไม่เท่ากัน และความสามารถในการฟื้นฟูเศรษฐกิจก็จะเร็วช้าต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศจะออกจากมาตรการล็อกดาวน์ได้เมื่อไหร่ การพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวมีมากน้อยเพียงใด และสถานะทางการเงินก่อนวิกฤตเป็นอย่างไร ซึ่งความไม่เท่าเทียมกันนี้อาจส่งผลกระทบต่อระบบตลาดเดียวของสหภาพยุโรปและเขตยูโรเป็นอย่างมาก เว้นแต่ประเทศสมาชิกจะหันหน้าเข้าหากันและหาทางออกร่วมกันในระดับสหภาพยุโรป นอกจากนี้ นาย Gentiloni มองว่าวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้รุนแรงกว่าวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปเมื่อปี 2552 (ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจหดตัวร้อยละ 4.5) โดยประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักสุด ได้แก่ กรีซ อิตาลี สเปน โครเอเชีย (และฝรั่งเศสในระดับรองลงมา)
อย่างไรก็ดี น่าจะเป็นข่าวดีที่ในขณะนี้ ยอดผู้ติดเชื้อในยุโรปลดลงอย่างต่อเนื่องและรัฐบาลได้ทยอยผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม โดยร้านอาหารซึ่งเป็นกิจการกลุ่มแรกที่ถูกสั่งปิดชั่วคราวและกลุ่มสุดท้ายที่รอคำอนุญาตให้เปิดบริการอีกครั้ง เริ่มได้รับอนุญาตให้กลับมาดำเนินกิจการแล้วในหลายประเทศ และในวันที่ 15 มิถุนายน 2563 ประชาชนจะสามารถเดินทางในยุโรปเพื่อการท่องเที่ยวได้อีกครั้ง ซึ่งหลายประเทศในยุโรปใต้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดมากกว่ายุโรปส่วนอื่นต่างมีความคาดหวังที่จะได้รายได้จากการท่องเที่ยวในฤดูร้อนนี้มาช่วยพยุงวิกฤตทางเศรษฐกิจ
ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา สหภาพยุโรปและรัฐบาลประเทศสมาชิกได้ออกมาตรการการเงินการคลังเพื่อฝ่าวิกฤตโควิดแล้วหลายชุด
ทั้งเงินช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับประชาชน ลูกจ้าง บริษัท SME และประเทศสมาชิก โดยในขณะนี้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอยู่ระหว่าง
การพิจารณาข้อเสนองบประมาณการฟื้นฟูเศรษฐกิจของคณะกรรมาธิการยุโรปซึ่งมีวงเงินสูงถึง 1.85 ล้านล้านยูโร อันประกอบด้วย
(1) กองทุนฟื้นฟู “Next Generation EU” จำนวน 7.5 แสนล้านยูโร โดยแบ่งเป็นเงินให้เปล่า 5 แสนล้านยูโร และเงินกู้ 2.5 แสนล้านยูโร และ (2) กรอบงบประมาณ Multiannual Financial Framework (MFF) จำนวน 1.1 ล้านล้านยูโร สำหรับช่วง 7 ปีข้างหน้า (ค.ศ. 2021-2027) โดยคาดว่า น่าจะบรรลุข้อตกลงกันได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ทั้งนี้ แผนงบประมาณดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปทั้ง 27 ประเทศ และจะมีส่วนสำคัญในการประคับประคองเศรษฐกิจสหภาพยุโรปทั้งระบบให้สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าและกลับเข้าสู่ภาวะการเติบโตได้อีกครั้ง รวมถึงเป็นบทพิสูจน์ความเป็นเอกภาพของสหภาพยุโรปที่มักถูกวิจารณ์ว่าเริ่มอ่อนแอลง นับจากเหตุการณ์ Brexit
แนวทางการปรับตัวเข้าสู่บรรทัดฐานใหม่ทางธุรกิจาหรับผู้ประกอบการไทยแม้ว่าเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปมีแนวโน้มที่จะต้องเผชิญความท้าทายอยู่มาก แต่สหภาพยุโรปก็ยังเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยเตรียมความพร้อมในการปรับตัว
เข้าสู่การดำเนินธุรกิจยุคหลังโควิดซึ่งมาพร้อมกับโอกาสและความท้าทาย ทีมงาน Thaieurope ได้สรุปแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจไว้ ดังนี้
(1) การกระจายห่วงโซ่อุปทาน (supply chain diversification) ที่ผ่านมาในยุคโลกาภิวัตน์ ภาคการผลิตโดยเฉพาะบริษัท
ข้ามชาติต่าง ๆ เน้นการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และต้นทุนต่ำสุดทำให้เกิดห่วงโซ่อุปทานที่ส่วนใหญ่จะพึ่งพาวัตถุดิบจากจีน อย่างไรก็ดี ในช่วงวิกฤตโควิดจีนไม่สามารถส่งออกสินค้าได้เหมือนปกติ ประกอบกับหลายประเทศได้ออกมาตรการห้ามหรือจำกัดการส่งออกสินค้า
ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลกหยุดชะงักทำให้หลายชาติ เช่น ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ต้องทบทวนกลยุทธ์การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานของตนเองใหม่ โดยเปลี่ยนจากการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานเดียว (single-line supply chain) มาสู่การกระจายห่วงโซ่อุปทาน (supply chain diversification) ในหลายประเทศและหลายทวีปมากขึ้น รวมทั้งย้ายฐานการผลิตบางส่วนกลับมาในประเทศตนเอง (reshoring) โดยเฉพาะสำหรับสินค้าจำเป็น เช่น เครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ อาหาร รวมทั้งวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรม เช่น เหล็ก อลูมิเนียม และแร่ธาตุต่าง ๆ (โคบอลท์ ลิเธียม ทองแดง)
ทั้งนี้ หน่วยงานส่งเสริมการค้าการลงทุนของเขตฟลานเดอร์ประเทศเบลเยียม (Flanders Investment & Trade) มองว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้ธุรกิจเบลเยียมเริ่มตระหนักว่าไม่ควรพึ่งพาประเทศหนึ่งประเทศใดจนเกินไป และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเชื่อมโยงกับคู่ค้า
ต่างประเทศหลายรายขึ้นเพื่อสร้างเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานที่ครอบคลุมหลายภูมิภาคเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดกับสายการผลิต ในขณะที่สมาพันธ์ภาคธุรกิจของยุโรป (BusinessEurope) ออกมาเตือนว่านโยบายสนับสนุนการย้ายฐานการผลิตกลับภูมิภาคยุโรป (reshoring) เปรียบเสมือนดาบสองคม เพราะจะส่งผลให้สินค้าในประเทศมีปริมาณมากเกินความต้องการ นอกจากนั้น การปกป้องทางการค้าไม่ใช่ทางออก และสหภาพยุโรปต้องยอมรับว่าการเคลื่อนย้ายห่วงโซ่อุปทานไปยังนอกภูมิภาคยุโรปของภาคธุรกิจ เป็นผลจากการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ และการแสวงหาตลาดผู้บริโภคที่เกิดใหม่ พร้อมย้ำว่าการค้าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยให้เศรษฐกิจสหภาพยุโรปฟื้นตัว โดยสหภาพยุโรปควรเร่งทำความตกลงทางการค้ากับคู่ค้าต่าง ๆเพื่อขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ
(2) การให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ โดยเฉพาะยารักษาโรคเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตในครั้งนี้ เนื่องจากสหภาพยุโรปต้องพึ่งพาการนำเข้าส่วนผสมยาจากต่างประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะจากจีนและอินเดีย คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 80 ของปริมาณความต้องการภายในประเทศ ดังนั้น เพื่อเป็นการลด
ความเสี่ยงจากปัญหาดังกล่าวในอนาคต สหภาพยุโรปจึงต้องการผลักดันการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศเพื่อยกเว้นอากรสำหรับเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานเหมือนในช่วงโควิดอีก รวมถึงการผลักดันให้ประเทศอื่นปรับมาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัยของยาให้สอดคล้องกัน ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการเข้าเป็นห่วงโซ่อุปทานสินค้าประเภทนี้ให้กับสหภาพยุโรป เพราะสหภาพยุโรปก็ยอมรับว่าแม้มีความต้องการกระจายห่วงโซ่อุปทาน แต่ก็คงไม่สามารถเคลื่อนย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหภาพยุโรปได้ทั้งหมด
(3) การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน วิกฤตในครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำให้ประเด็นเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคมในห่วงโซ่อุปทาน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แรงงาน สิทธิมนุษยชน รวมถึงสุขอนามัยและความปลอดภัยมีความสำคัญมากขึ้นทุกขณะ โดยนาง Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป นำเสนอแนวทางขับเคลื่อนโลกหลังโควิดในการประชุม High-Level Event on Financing for Development in the Era of Covid-19 and Beyond ของสหประชาชาติ (United Nations - UN) โดยมุ่งเน้นการร่วมมือกันเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมโลกบนพื้นฐานของเศรษฐกิจสีเขียวที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็น
ตัวขับเคลื่อนและสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน นอกจากนั้น สหภาพยุโรปยังเตรียมเสนอร่างกฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อบังคับให้ภาคเอกชนของสหภาพยุโรปตรวจสอบ supply chain ของสินค้าเพื่อแสดงว่าไม่ได้มาจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนและทำลายสิ่งแวดล้อม โดยกฎหมายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิรูปสีเขียวหรือ European Green Deal และจากข้อร้องเรียนที่ว่าความต้องการสินค้า
ด้านการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดของโควิดนั้น อาจมาจากการผลิตที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านแรงงาน ดังนั้น ในการดำเนินการค้ากับสหภาพยุโรป ผู้ประกอบการไทยจึงต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องมาตรฐานทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม แรงงาน สิทธิมนุษยชน สุขภาพและความปลอดภัย โดยสหภาพยุโรปมีแนวโน้มจะเพิ่มระดับมาตรฐานด้านความยั่งยืนทั้งกับตัวสินค้าและกระบวนการผลิตสูงขึ้น
อย่างต่อเนื่อง
(4) การสู้โรคระบาดด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์แบบสามมิติ (3D Printing) การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดทำให้หลายโรงงานต้องปิดกิจการชั่วคราว และเทคโนโลยี 3D Printingได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้การผลิตสินค้าจำเป็นโดยเฉพาะอุปกรณ์การแพทย์ เช่น หน้ากากป้องกันการติดเชื้อ และเครื่องช่วยหายใจยังสามารถดำเนินต่อได้ แม้ว่าในปัจจุบันการผลิตด้วย 3D Printing จะยังมีต้นทุนสูงและผลิตได้น้อยชิ้น 3D Printing เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่ตอบโจทย์เรื่องการสร้างความยืดหยุ่นให้กับสายการผลิตและการเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตในอนาคต ดังนั้น จึงน่าจะมีการพัฒนา hardware และ software เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ 3D Printing ให้ผลิตชิ้นงานได้ในจำนวนมากขึ้นและต้นทุนต่ำลงอันจะทำให้ 3D Printing เป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันทั้งสำหรับผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพและเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม
(5) การใช้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เป็นที่ทราบกันดีว่า สถานการณ์โควิดส่งผลต่อการปรับตัวเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างก้าวกระโดดจากผลพวงของการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานมาเป็นการทำงานจากที่บ้าน ผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์หรือแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ เพื่อช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการสื่อสารมากขึ้น ตลอดจนทำให้เกิดการเรียนการสอน หรือการพบแพทย์ในรูปแบบออนไลน์ รวมถึงนำเทคโนโลยีเสมือนจริงมาผนวกกับการเดินทางท่องเที่ยวและการเปลี่ยนจากการใช้เงินสดมาเป็นระบบ e-payment
ที่ทันสมัย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่สั่งซื้ออาหาร หรือสิ่งของอุปโภคบริโภคอื่น ๆ หลังจากสถานการณ์ของการระบาดของ
ไวรัส อาจจะทำให้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนไป และเทคโนโลยีจะช่วยให้การเชื่อมโยงทางธุรกิจทำได้ง่ายขึ้น ดังนั้น การพัฒนา hardware และ software เพื่อรองรับการทำงาน การประชุม และการหารือทางธุรกิจออนไลน์ รวมทั้งการพัฒนาระบบ e-commerce และ
e-payment จะมีส่วนสำคัญอย่างมากในการทำการค้าของผู้ประกอบการไทยในอนาคตและการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
กล่าวโดยสรุป คือ ผู้ประกอบการไทยควรต้องปรับตัวเพื่อเตรียมเข้าสู่บรรทัดฐานใหม่ทางธุรกิจในยุคหลังโควิด โดยควรให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ ตลอดจนเพื่อขยายช่องทางการตลาดและเพิ่มฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น นอกจากนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงประเด็นด้านสังคม สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน รวมถึงสุขอนามัยและความปลอดภัย โดยเข้ามาบูรณาการเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ อีกทั้งยังเป็นการตอบสนองต่อความต้องการและ
ความคาดหวังของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะตลาดสหภาพยุโรปที่มุ่งเน้นการก้าวสู่เศรษฐกิจสีเขียว และดิจิทัลอีกด้วย
****************************
เรียบเรียงโดย สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์
(Credit รูปภาพปก: Shutterstock)
จันทร์ - ศุกร์ เวลา 08.30 - 16.30 น. (ยกเว้นวันหยุดและวันหยุดนักขัตฤกษ์)