เหลือเวลาอีก 6 เดือน ความสัมพันธ์สหภาพยุโรป-สหราชอาณาจักร ภายหลัง Brexit จะเป็นอย่างไร

เหลือเวลาอีก 6 เดือน ความสัมพันธ์สหภาพยุโรป-สหราชอาณาจักร ภายหลัง Brexit จะเป็นอย่างไร

วันที่นำเข้าข้อมูล 22 มิ.ย. 2563

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 28 พ.ย. 2565

| 1,370 view

เหลือเวลาอีก 6 เดือน ความสัมพันธ์สหภาพยุโรป-สหราชอาณาจักร ภายหลัง Brexit จะเป็นอย่างไร

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2563 สหราชอาณาจักรได้ถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป สิ้นสุดการเป็นสมาชิกนาน 47 ปี อย่างไรก็ดี สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรยังคงต้องเจรจาความตกลงฉบับใหม่เพื่อกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างกัน ช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 ธันวาคม 2563 จึงเรียกว่าเป็น “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” หรือ “transition period” ที่ทั้งสองฝ่ายจะเข้าสู่โต๊ะเจรจาเพื่อกำหนดกฎกติกาใหม่ระหว่างกันในมิติที่หลากหลายทั้งการค้า การลงทุน การประมง สิทธิพลเมือง ความร่วมมือด้านตำรวจและยุติธรรม เป็นต้น ทั้งนี้ ในช่วงเปลี่ยนผ่าน กฎหมายสหภาพยุโรปส่วนใหญ่ยังคงบังคับใช้กับสหราชอาณาจักร และประชาชนยังมีเสรีภาพในการเดินทางระหว่างกันจนถึงสิ้นปี 2563

การเจรจาความสัมพันธ์สหภาพยุโรป-สหราชอาณาจักร ภายหลัง Brexit มีขึ้นแล้วรวม 4 ครั้ง โดยรอบแรกจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-4 มีนาคม 2563 ณ กรุงบรัสเซลส์ หลังจากนั้นสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในยุโรป ทำให้คณะเจรจาทั้งสองฝ่ายต้องปรับมาใช้การประชุมผ่านระบบ video conference โดยมีการจัดการเจรจาอีก 3 รอบในช่วงวันที่ 20-24 เมษายน
วันที่ 11-15 พฤษภาคม และวันที่ 2-5 มิถุนายน 2563

การเจรจามาได้ครึ่งทางแล้ว…แต่ยังไร้ความคืบหน้า

สหภาพยุโรปยืนยันท่าทีว่า จะยอมเปิดตลาดให้สหราชอาณาจักรแบบปลอดภาษีและปลอดโควตา (zero tariffs, zero quotas) ก็ต่อเมื่อสหราชอาณาจักรยอมรับกฎเกณฑ์เพื่อสร้างความเสมอภาคในการแข่งขันทางธุรกิจ (level playing field) และสิทธิของชาวประมงยุโรปในน่านน้ำของสหราชอาณาจักรเท่านั้น นอกจากประเด็นเรื่องการค้าแล้ว ยังมีอีก 2 ประเด็นสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายยังหาทางออกร่วมกันไม่ได้ ได้แก่ เรื่องความร่วมมือทางอาญา และเรื่องโครงสร้างการบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยุโรปกับสหราชอาณาจักร (governance)

1. หลักการสร้างความเสมอภาคในการแข่งขันทางธุรกิจ หรือ “level playing field” ฝ่ายสหภาพยุโรปตั้งเป็นกฎเหล็กว่า สหราชอาณาจักรจะต้องยอมรับที่จะอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์และมาตรฐานของสหภาพยุโรปต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด
ความเหลื่อมล้ำในการแข่งขัน เช่น มาตรฐานด้านแรงงานและสิ่งแวดล้อมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาษี กฎระเบียบ
เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือของรัฐ และการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น นาย Michel Barnier หัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายสหภาพยุโรปกล่าวว่า ฝ่ายสหราชอาณาจักรไม่ต้องการที่จะปฏิบัติตามกฎหมายปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล General Data Protection Regulation ค.ศ. 2018 ของสหภาพยุโรปอีกต่อไป และยังจะให้สหภาพยุโรปขัดกฎหมายและคำพิพากษาของศาลยุโรปเองอีกในเรื่องการเก็บข้อมูลผู้โดยสารเครื่องบินหรือ Passenger Name Record โดยฝ่ายสหภาพยุโรปมองว่า หากยอมให้มีการใช้มาตรฐานที่ต่างกัน ก็อาจทำให้บริษัทของสหราชอาณาจักรดำเนินธุรกิจได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าบริษัทยุโรป และได้เปรียบบริษัทยุโรปอย่างไม่เป็นธรรม

2. การประมง ตามกฎหมาย Common Fisheries Policy ของสหภาพยุโรป เรือประมงของทุกประเทศสมาชิกมีสิทธิเข้าไปทำประมงในน่านน้ำของสมาชิกประเทศอื่นได้อย่างเต็มที่ (ยกเว้นทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล) ดังนั้น ที่ผ่านมา จึงมีชาวประมงของประเทศข้างเคียง เช่น ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี เข้าไปทำประมงในน่านน้ำของสหราชอาณาจักรซึ่งเป็นแหล่งจับปลาสำคัญและได้ประโยชน์ที่ฝ่ายสหราชอาณาจักรมองว่าไม่เป็นธรรม และต้องการใช้ Brexit เป็นโอกาสในการทวงคืน “อธิปไตย” เรื่องการประมงกลับมาจากสหภาพยุโรป โดยเสนอวิธีการจัดสรรโควตาจับปลาใหม่ เรียกว่า “zonal attachment” ที่โยงสิทธิในการจับปลากับปริมาณปลาที่มีอยู่ในน่านน้ำของแต่ละประเทศ ซึ่งจะทำให้โควตาการจับปลาของสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นมาก
ในขณะที่โควตาการจับปลาของประเทศยุโรปอื่นจะน้อยลงอย่างมาก นอกจากนี้ สหราชอาณาจักรยังต้องการเจรจาการจัดสรรโควตาเป็นรายปี ในขณะที่ฝ่ายสหภาพยุโรปพยายามคงโควตาปัจจุบันไว้และต้องการจัดทำความตกลงกำหนดโควตาอย่างถาวร เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้ให้กับอุตสาหกรรมประมงของตนภายหลัง Brexit

3. ความร่วมมือทางอาญา สหภาพยุโรปเป็นภูมิภาคที่มีความร่วมมือทางอาญาระหว่างกันสูง ทั้งในระดับตำรวจและระดับศาล เช่น หมายจับ European Arrest Warrant และองค์การตำรวจของสหภาพยุโรป (Europol)  การที่สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรจะมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดกันต่อไปในเรื่องการปราบปรามอาชญากรรมก็น่าจะเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ดี สหภาพยุโรปตั้งเงื่อนไขว่า หากสหราชอาณาจักรจะต้องการเข้าถึงฐานข้อมูลของ Europol ต่อไป สหราชอาณาจักรก็จะต้องยอมรับเขตอำนาจของศาล European Court of Justice เช่นกัน ซึ่งสหราชอาณาจักรไม่ต้องการ และประสงค์ทวงคืน “อธิปไตย” ด้านงานยุติธรรม นอกจากนี้ สหราชอาณาจักรยังแสดงท่าทีที่จะลดพันธกรณีของตนภายใต้ European Convention on Human Rights เพราะไม่พอใจกับคำพิพากษาของศาล European Court of Human Rights (ซึ่งก่อตั้งโดย European Convention Human Rights และเป็นคนละศาลกับ European Court of Justice) ในหลายคดี เช่น เรื่องสิทธิการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของผู้ต้องขัง เรื่องอำนาจของตำรวจในการขอค้นตัว และสิทธิของผู้ต้องหาในคดีผู้ร้ายข้ามแดน เป็นต้น

4. โครงสร้างการบริหารจัดการความสัมพันธ์สหภาพยุโรป-สหราชอาณาจักร (governance) ฝ่ายสหภาพยุโรปยืนยันที่จะจัดทำความตกลงครอบคลุมรอบด้าน (comprehensive agreement) ฉบับเดียวซึ่งมีทั้งมิติเศรษฐกิจ ความมั่นคงและสังคม รวมทั้งให้มีข้อบททั่วไปเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทกรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดพันธกรณี อย่างไรก็ดี ฝ่ายสหราชอาณาจักรต้องการแยกการเจรจาแต่ละเรื่องออกจากกันไม่นำมาโยงกัน และแยกออกเป็นความตกลงหลายฉบับ ซึ่งเป็นสิ่งที่นาย Michel Barnier หัวหน้าคณะผู้แทนของสหภาพยุโรป ยังคงยืนยันว่าจะไม่ยอมให้ฝ่ายสหราชอาณาจักรเลือกเอาแต่สิ่งที่ตัวเองได้ประโยชน์หรือ cherry-picking

Key dates ในช่วงครึ่งปีหลัง

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2563 ผู้นำสหภาพยุโรป ได้แก่ นาย Charles Michel ประธานคณะมนตรียุโรป (European Council)
นาง Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) และนาย David Sassoli ประธานสภายุโรป ได้หารือทางโทรศัพท์กับนาย Boris Johnson นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะไม่ต่ออายุช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 นี้ แต่แสดงความมุ่งมั่นที่จะเร่งรัดการเจรจาเพื่อให้สามารถบรรลุข้อตกลงได้ก่อนสิ้นปีนี้เพื่อประโยชน์ของพลเมืองสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร นั่นหมายความว่า เหลือเวลาอีกเพียง 6 เดือน ที่สหภาพยุโรปกับสหราชอาณาจักรจะต้องพยายามหาทางออกร่วมกันบางอย่างเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจาก Brexit ต่อภาคเอกชนซึ่งก็ตกที่นั่งลำบากอยู่แล้วจากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา

ในช่วงเดือนกรกฎาคม - กันยายน 2563 การเจรจา Brexit น่าจะเข้มข้นขึ้น โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดการเจรจาทุกสัปดาห์ และจะจัดให้มีการประชุมแบบได้เจอหน้ากันบ้าง หลังจากต้องประชุมวีดิโอคอลกันมาหลายเดือน

เดือนตุลาคม 2563 สหภาพยุโรปหวังว่าการเจรจาจะสิ้นสุดลงและสามารถเสนอร่างความตกลงความสัมพันธ์สหภาพยุโรปกับ
สหราชอาณาจักร ฉบับใหม่ ต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำยุโรป (European Council Summit) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 15-16 ตุลาคม 2563 ได้ หลังจากนั้น ร่างความตกลงก็จะต้องไปผ่านสภายุโรปเพื่อขอความเห็นชอบในการให้สัตยาบันให้ทันภายในสิ้นปี ในส่วนสหราชอาณาจักรก็จะต้องดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายภายในเพื่อขอความเห็นชอบในการให้สัตยาบันความตกลงเช่นกัน ก่อนที่ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2563

Deal or No Deal?

ในกรณีที่สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใด ๆ กันได้เลยก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ความสัมพันธ์ทางการค้าสหภาพยุโรป-สหราชอาณาจักร ก็จะเปลี่ยนจากระบบตลาดเดียว (single market) กลับไปสู่การทำการค้าภายใต้กฎเกณฑ์ WTO กล่าวคือ จากที่สินค้าสามารถเคลื่อนย้ายระหว่างสองโซนได้โดยปลอดภาษี ปลอดโควตาและปลอดพิธีศุลกากร
ก็จะกลายเป็นว่ามีกำแพงภาษีเกิดขึ้น สินค้าต้องผ่านพิธีการศุลกากรที่ด่านพรมแดน มีกระบวนการขอใบรับรองและใบอนุญาตเพื่อส่งออก-นำเข้า รวมทั้งอาจมีการใช้มาตรการอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีอื่น ๆ ด้วย เช่น มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เป็นต้น

สถานการณ์ข้างต้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่ทวีปยุโรปก็ต้องเผชิญกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งประวัติการณ์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาอยู่แล้ว และไม่ต้องการให้ Brexit มาซ้ำเติมแผลทางเศรษฐกิจอีก

สื่อรายงานว่า รัฐบาลสหราชอาณาจักรอาจจะเปลี่ยนใจไม่ตั้งด่านศุลกากรอย่างเต็มรูปแบบสำหรับสินค้าที่มาจากสหภาพยุโรปเพื่อเข้าสหราชอาณาจักรเมื่อช่วงเปลี่ยนผ่านสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 อีกต่อไป โดยอ้างคำกล่าวของนาย Michael Gove เลขาธิการคณะรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรที่ยอมรับว่า ภาคธุรกิจอาจจะไม่สามารถปรับตัวกับกระบวนการใหม่ ๆ ได้ทัน
ในขณะที่ยังต้องต่อสู้กับวิกฤตไวรัสโคโรนาอยู่

ในส่วนของสหภาพยุโรป นาย Michel Barnier หัวหน้าคณะเจรจากล่าวว่า ฝ่ายสหภาพยุโรปพร้อมที่จะประนีประนอม (compromise) ในบางประเด็น แต่ก็ย้ำหนักแน่นเรื่องการไม่ยอมให้สหราชอาณาจักรเลือกเอาแต่เรื่องที่ได้ประโยชน์กับตน (cherry picking) และไม่ได้ระบุว่า สหภาพยุโรปจะยอม compromise ในประเด็นใด

แม้จะไม่สามารถตกลงกันได้ทุกเรื่องก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2563 แต่ทั้งสองฝ่ายก็น่าจะพยายามเจรจาตกลงในบางประเด็นสำคัญให้ได้โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการค้า เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ซึ่งมองในแง่ดี วิกฤตโควิดก็ดูเหมือนจะเป็นตัวแปรพิเศษที่เข้ามาบังคับให้ทั้งสองฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากันมากขึ้น และยอมประนีประนอมท่าทีเพื่อหลีกเลี่ยง Hard Brexit โดยต้องพยายามประคับประคองให้เครื่องบิน Brexit ลำนี้ลงจอดอย่างนุ่มนวลที่สุด

นัยของ Brexit ต่อเศรษฐกิจไทย 

สหราชอาณาจักรเป็นคู่ค้าอันดับที่ 21 ของไทย มีมูลค่าการค้ารวมเมื่อปี 2562 ประมาณ 6.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการส่งออกจากไทยไปสหราชอาณาจักร 3.8 พันล้านดอลลารณ์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 1.5 ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด (ไทยได้ดุลการค้าเล็กน้อย) สินค้าส่งออกสำคัญจากไทยไปสหราชอาณาจักร เช่น ไก่แปรรูป รถยนต์และอุปกรณ์ อัญมณี
แผงวงจรไฟฟ้า โดยที่มูลค่าการค้าระหว่างกันค่อนข้างน้อย ไทยจึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบใดมากจาก Brexit  นอกจากนี้
การค้าระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักรไม่ว่าจะก่อนหรือหลัง Brexit ก็ยังอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกันขององค์การการค้าโลก

อนึ่ง ในประเด็นเรื่องโควตาภาษี ที่ผ่านมา ไทยได้รับโควตาส่งออกไปสหภาพยุโรปในอัตราภาษีต่ำรวม 31 รายการ ภายหลัง Brexit สหภาพยุโรปจะปรับลดโควตาลงเพราะอังกฤษก็จะมีโควตาของตนเองด้วย ในการนี้ ไทยจึงอยู่ระหว่างเจรจาโควตาภาษีกับสหภาพยุโรปและอังกฤษใหม่สำหรับสินค้า เช่น มันสำปะหลัง แป้งมันสำปะหลัง ข้าวขาว ข้าวกล้อง ข้าวหัก ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ปลากระป๋อง ปีกไก่ เป็นต้น โดยเป้าหมายคือให้โควตารวม (ของสหภาพยุโรปกับอังกฤษ) ไม่ลดลงจากที่สหภาพยุโรปเคยจัดสรรให้ไทยก่อน Brexit  นอกจากนี้ หน่วยงานของไทยและสหราชอาณาจักรก็กำลังจัดทำรายงานเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศ เพื่อหารือเกี่ยวกับโอกาสในการจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างกันในอนาคตต่อไป

**********************

 

 

ที่มา: https://thaieurope.net/2020/06/17/

 

(credit รูปภาพปก: https://www.unionsyndicale.eu/wp-content/uploads/2017/01/brexit.png)